[ 12.04.2562 ] “เมื่ออาหารเดินทางได้” อุปมาได้กับ การแลกเปลี่ยนอาหารในฐานะสิ่งของ ดำเนินธุรกิจ “ซื้อขาย” ในฐานะสินค้า เป็นวัตถุดิบส่วนผสมสุดพิเศษเมื่อมนุษย์อพยพย้ายถิ่นในฐานะเครื่องชูรสของคนไกลบ้าน (คนพลัดถิ่น) ทำให้โหยหาถิ่นกำเนิด สร้าง “สัญญะแสดงถิ่นที่ (Place Making) เชิดชูขอบเขตอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (Ethnic Boundary) ให้ผู้อื่นได้ชื่นชม หรือเป็นองค์ประกอบสูงค่าในฐานะอามิสบูชาในศาสนาที่ตนเคารพ ขยายชายขอบของการรวมกลุ่ม “พรรคพวก” ก่อเกิดสังคม “คอเดียวกัน” นั่นคือ วัฒนธรรมร่วม หรือ Common Culture ขึ้น
วาทกรรม “กินเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อกิน” อาจจะถูกเล่ารื้อ กล่าวถึง และแทนที่ใหม่ ด้วย “กินอย่างรู้คุณค่า อยู่อย่างมีรสนิยม”
- General Eaters กินให้อิ่มท้อง “ต้องอร่อย”
- Professional Consumers กินอย่างมืออาชีพ
- Food Connoisseurs กินอย่างประณีต พิถีพิถัน “ช่างเลือก”
- Mindful Diners กินอย่างมีสติ มีคุณค่า
การเข้าสู่ปริมณฑลศึกษาด้านอาหาร คือ (ควร) เข้าใจปริมณฑลศึกษาแวดล้อมอื่นด้วย อาทิ มนุษยวิทยา, สังคมวิทยา, ประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ ว่าด้วยเรื่อง “อาหาร” ในฐานะ “สื่อกลาง (medium)” เหนี่ยวนำเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ผู้คน สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม เข้าด้วยกัน ฉะนั้น การเข้าใจ “สัญญะของเมือง (Semiotics of Space)” สู่การเข้าใจ “สัญญะของอาหาร (Semiotics of Food)” จึงเป็นศาสตร์หนึ่งที่ต้องการชุดความรู้ใหม่ในลักษณะองค์รวม ผสานศาสตร์ต่างๆ หลากแขนงเร่งเข้าอธิบายก่อนมรดกภูมิปัญญาอันทรงค่านี้อาจจะสูญหาย กลายเป็น “ประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์” ที่คนรุ่นหลังจะได้เรียนรู้
สังคมปัจจุบัน หากไม่กล่าวถึง นวัตกรรม (innovation) สิ่งประดิษฐ์ (invention) หรือ การคิดค้น (fabrication) สิ่งใหม่ๆ พวกเราคงจะถูกกล่าวหาว่าเป็น คนหลงยุค (ตกยุค) หรือ ต้องยืนแถวตรงอยู่ชายขอบของจักรวาลความรู้ของโลกยุคใหม่นี้เป็นแน่ ในทัศนะของผู้เขียนนั้น ขนบธรรมเนียม (tradition) ก็คือ นวัตกรรม (innovation) ของ “เมื่อวาน” ฉะนั้นเหล่านวัตกร (innovators) ทั้งหลายควรเรียนรู้ระเบียบ “โลกเก่า” เพื่อสร้างระบบ “โลกใหม่” ถึงจะสามารถสร้างสรรค์ “นวัตกรรม” ได้อย่างลุ่มลึกมากขึ้น เน้นนำ “รากวัฒนธรรม” อันเป็นมรดกของคนในชาติสร้างสรรค์ใหม่ให้มีมูลค่าและรักษาคุณค่าไปพร้อมกัน
การเข้าใจอรรถศาสตร์ศึกษา “Semantics (ภาษา)” ควบคู่กับการเรียนรู้สัญศาสตร์ศึกษา “Semiotics (สัญลักษณ์)” นั้น จะช่วยเกื้อกูลกระบวนการ “คิด ผลิต ขาย” นวัตกรรมอย่างไร้ขีดจำกัด ก่อร่างบนรากเหง้าของความเป็นเรา (uniqueness) มิให้เป็นอื่น (otherness) กอรปเกิดความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Competitive Advantage) และความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ผ่านการนำส่ง “คุณค่าความเป็นไทย (The Unnique Value of Thainess)” ชูธงไตรรงค์ ให้ปลิวไสวในเวทีโลก
ข้อความ: อนุวัต เชื้อเย็น
ภาพ: Haisam Hussein for Lapham’s Quarterly อ้างใน We Forum – World Economic Forum | อ่านต่อ [ คลิก ]
